ที่ตั้งของหมู่บ้านหรือชุมชนหรือตำบลหัวดอน
องค์การบริหารส่วนตำบลหัวดอน ยกฐานะจากสภาตำบลหัวดอนเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลหัวดอน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2539 (ลำดับที่ 3436) ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 182 บ้านท่าวารี หมู่ที่ 4 ตำบลหัวดอน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ทางทิศตะวันออกของอำเภอเขื่องใน ห่างจากที่ว่าการอำเภอเขื่องใน ประมาณ 16 กิโลเมตร บนถนนแจ้งสนิท สายอุบลราชธานี - ยโสธร (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 23) และห่างจากจังหวัดอุบลราชธานี 26 กิโลเมตร
อาณาเขตติดต่อ
สภาพพื้นที่ทั่วไปเป็นดินทรายปนร่วน ประมาณ 70% ของพื้นที่ทั้งหมดมีพื้นที่ดินเค็มประมาณ 50 ไร่ และดินเปรี้ยวเล็กน้อย พื้นที่นาเป็นนาดอนประมาณ 40% ของพื้นที่ และนาลุ่มประมาณ 60% ของพื้นที่
สภาพภูมิประเทศ
สภาพพื้นที่ทั่วไปขององค์การบริหารส่วนตำบลหัวดอน มีสภาพพื้นที่ ดังนี้ (1) เป็นเป็นพื้นที่ราบเรียบ มีความลาดชัน 0-2% ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง น้อยกว่า 180 เมตร จะพบพื้นที่ที่มีกลุ่มดินไร่ เกือบทั้งหมด ประมาณ 95% เป็นเขตพื้นที่อนุรักษ์ 5% ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของตำบล พื้นที่ส่วนมากใช้สำหรับในเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร โดยทำนาเป็นหลัก อ้อย มัน สำปะหลัง ข้าวโพดและพืชผลอื่นๆ ตามลำดับ ลองลงมาใช้เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ (2) มีลำคลอง ลำห้วย หนองน้ำ สระน้ำ ฝาย บ่อบาดาล ตามพื้นที่ จำนวน 10 แห่ง สำหรับใช้ในการอุปโภค-บริโภค การเกษตร เลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้องค์การบริหารส่วนตำบลหัวดอนได้ดำเนินการก่อสร้าง/ปรับปรุงซ่อมแซม เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนกรณีภัยแล้งและน้ำท่วมให้กับประชาชน อีกทั้งได้ขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่นๆ ในการให้การสนับสนุน เช่น อำเภอ จังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมทรัพยากรน้ำ และรัฐบาล โดยทำการขุดลอก ขุดขยายแหล่งน้ำและก่อสร้างฝายกั้นน้ำ วางท่อระบายน้ำ ก่อสร้างประตูปิดปิดน้ำ ปรับปรุงบ่อบาดาลเดิม เพื่อให้มีน้ำใช้เพียงพอต่อประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจำนวนแหล่งน้ำในพื้นที่ตำบลหัวดอน มีดังนี้
มีพื้นที่ประมาณ 55 ไร่ มีพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ ยาวประมาณ 27 กม. มีพื้นที่ประมาณ 300 ไร่ มีพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ยาวประมาณ 4 กม มีพื้นที่ประมาณ 25 ไร่ มีพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ยาวประมาณ 2 กม ยาวประมาณ 8.5 กม.
สภาพภูมิอากาศ
สภาพอากาศทั่วไปของเขตพื้นที่ตำบลหัวดอนมีความคล้ายคลึงภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ทิศทางลมในแต่ละฤดู สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน เริ่มต้นปราบเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน อากาศร้อนจัดและแล้งจัดติดต่อเป็นระยะเวลานานความชื้นในอากาศมีน้อย และมีพายุฤดูร้อนเป็นบางช่วงที่มีคลื่นความร้อนปกคลุม อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 35 - 40 องศาเซลเซียส บางปีลมแรงทำให้บ้านเรือนราษฎร ฤดูฝน เริ่มต้นระหว่างเดือนพฤษภาคม - กันยายน อากาศร้อนและมีพายุลมฝนฟ้าคะนองลมแรงและมีภาวะฝนทิ้งช่วงและแล้งหนักสุดในปี พ.ศ. 2562 - 2563 ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก เกือบจะเข้าขั้นวิกฤติเนื่องจากภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน มีปริมาณน้ำฝนน้อยมาก ทำให้ในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ตายไปเป็นจำนวนมาก เช่น ข้าว พื้นที่แห้งแล้ง น้ำในลำห้วย หนอง คลอง บึง สระแห้งเป็นประวัติการณ์ ประชาชนในตำบลได้รับความเดือนร้อนเป็นอย่างมาก อาจจะไม่มีน้ำใช้ในการอุปโภค - บริโภค การเกษตรและเลี้ยงสัตว์ ประกอบกับแหล่งน้ำที่มีตื้นเขินไม่สามารถกักเก็บน้ำในปริมาณที่เพียงพอสำหรับใช้ได้ตลอดปี และยังได้ดำเนินโครงการและขอรับการสนับสนุนจากทางอำเภอ จังหวัด ในการขุดลอกสระ ลำห้วย เพื่อสามารถมีพื้นที่กักเก็บในช่วงฤดูฝนได้มากขึ้น ฤดูหนาว เริ่มต้นระหว่างเดือนตุลาคม- กุมาภาพันธ์ อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 8 องศาเซลเซียส แต่ยังไม่ได้ถูกประกาศเป็นพื้นที่เขตภัยพิบัติ เป็นอากาศหนาวตามฤดูกาล
เขตการปกครอง
จำนวนหมู่บ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลหัวดอน มีจำนวน 11 หมู่บ้าน ได้แก่
ชื่อผู้ปกครองหมู่บ้านและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหัวดอน
จำนวนครัวเรือนและประชากร
สาธารณสุข จากการสำรวจข้อมูลพื้นฐานพบว่า ประชาชนส่วนมากมีสุขภาพที่ดี มีการคัดกรองสุขภาพให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง โรคที่มักเกิดแก่ประชาชนในชุมชน เช่นกัน ได้แก่ โรคความดัน เบาหวาน โรคเอดส์ โรคไข้เลือดออก มือ-ปาก-เท้าในเด็ก และโรคอื่น ๆ อีกมาก มีสถิติเข้ารับการรักษาพยาบาล ปัญหาคือประชาชนบางรายไม่ยอมไปคัดกรองหรือตรวจสุขภาพประจำปี การแก้ไขปัญหา คือ องค์การบริหารส่วนตำบลหัวดอนและหน่วยงานสาธารณสุข ได้จัดกิจกรรมร่วมมือกันรณรงค์ให้ชุมชนเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง ประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ต้องเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
เศรษฐกิจ การเกษตร - พื้นที่ทำการเกษตร ทั้งหมด 21,848 ไร่ ประกอบด้วย
- ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ คือ ข้าว มีข้าวจ้าวนาปี พันธุ์ที่นิยมปลูก ขาวดอกมะลิ 105 พื้นที่ 8,579 ไร่ ห,กข.15 ร้อยละ 57 ข้าวเหนียวนาปี พันธุ์ที่นิยมปลูก กข.6 ร้อยละ 40 พื้นที่ 5,386 ไร่ ผลผลิต 453 กก./ไร่ ต้นทุนการผลิต 1,755 ไร่ รายได้เฉลี่ย 3,171 บาท/ไร่ รายได้สุทธิ 1,416 กก./ไร่ และข้าวพันธุ์พื้นเมือง ร้อยละ 3 พื้นที่ 137 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 470 กก./ไร่
การบริการ การให้บริการในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลหัวดอน จะเป็นลักษณะสถานบริการประเภท ที่พักรายวัน/รายเดือน รีสอร์ทหรือสถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ - ที่พัก/รีสอร์ท จำนวน 5 แห่ง จำนวน 48 ห้อง ได้แก่
การท่องเที่ยว มีเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สัญจรไปมาได้สะดวกเหมาะสำหรับที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งธุรกิจค้าขาย มีศูนย์พัฒนาคุณธรรมป่าดงใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บ้านวังอ้อ หมู่ที่ 9 ต.หัวดอน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงของตำบล มีบุคคลเข้ามาดูงานเป็นจำนวนมากและยังใช้เป็นที่ฝึกอบรมจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เป็นแหล่งบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด และเป็นแหล่งสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนโดยทั่วไปและเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่อไป พื้นที่ติดกับลำเซบาย มีคลองระบายน้ำซึ่งสามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับราษฎร สินค้าที่มีชื่อเสียงคือมะพร้าวเผาบ้านท่าวารีและมีประเพณีที่สำคัญและมีชื่อเสียงคือประเพณีการแข่งขันเรือยาวบ้านท่าวารี ซึ่งทำการแข่งขันเป็นประจำทุกปี
อุตสาหกรรม โรงงานในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลหัวดอน มีจำนวน 9 แห่ง ได้แก่
ประเพณี วัฒนธรรม ประเพณีประจำถิ่น ได้แก่ 1. ประเพณีบุญเผวส 2. ประเพณีบุญลอมข้าว 3. ประเพณีบุญบั้งไฟ 4. ประเพณีแข่งเรือยาวท่าวารี - มีขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อคล้ายๆ กับตำบลอื่น ๆ ในภาคอีสานซึ่งถือว่ามีบุญประเพณีประจำ 12 เดือน คือ
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภาษาถิ่น ชาวบ้านตำบลหัวดอนส่วนใหญ่มีอาชีพทางเกษตรกรรม เช่นเดียวกับภาคอื่น ๆ อาชีพหลัก ได้แก่ การทำนาข้าวเหนียว นอกจากนั้นประกอบอาชีพปลูกพืชไร่ เช่น มันสำปะหลังปอ และเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้แรงงาน ตลอดจนเลี้ยงไว้บริโภค อาชีพเหล่านี้ต้องพึ่งดินฟ้าอากาศที่เอื้ออำนวย จึงจะส่งผลดี แต่สภาพภูมิประเทศภาคนี้เป็นที่ราบแบบลูกคลื่น พื้นดินเป็นดินปนทรายน้ำซึมได้ง่าย จึงทำให้บริเวณแถบนี้แห้งแล้งขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูก และบริโภค ทำให้เศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำกว่าภาคอื่น ๆ ของประเทศ สภาพภูมิศาสตร์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผลต่ออาหารการกินของคนท้องถิ่น อย่างมาก เนื่องจากพื้นที่บางแห่งแห้งแล้ง วัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารซึ่งหาได้ตามธรรมชาติส่วนใหญ่ ได้แก่ปลาแมลงบางชนิด พืชผักต่าง ๆ การนำวิธีการถนอมอาหารมาใช้เพื่อรักษาอาหารไว้กินนาน ๆ จึงเป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีพของคนอีสานจะมีข้าวเหนียวนึ่งเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับภาคเหนือ เนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงอาหารได้แก่ สัตว์ที่หามาได้ เช่นกบ เขียด แย้ แมลงต่าง ๆ บั้งไฟถือเป็นคติความเชื่อทางสังคมของชาวอุดรธานีและภาคอีสานทั่วไปที่วิถีชีวิตผูกพันกับธรรมชาติ เนื่องจากชาวบ้านต้องทำการกสิกรรมเลี้ยงชีพเป็นส่วนใหญ่ จึงต้องการน้ำจากธรรมชาติเพื่อเพาะปลูกพืชผลของตนเองจึงได้มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า เทพเจ้าที่ประทานน้ำให้แก่มนุษย์คือ "แถน"บุญบั้งไฟ เป็นความเชื่อของคนอีสานในการขอฝนสืบต่อมา จากเรื่องพญาคันคาก ผู้รบชนะพญาแถนและขอให้แถนบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พญาแถนจึงบอกให้พญาคันคาก ว่าต้องการฝนเมื่อใด ให้ส่งสัญญาณไปบอกด้วยการจุดบั้งไฟขึ้นฟ้าไป พญาแถนก็จะสั่งฝนลงมาให้ เมื่อถึงฤดูทำนาก็จะขอฝนมาทำนา ก็ส่งสัญญาณบอกแถนด้วยการจุดบั้งไฟการจุดบั้งไฟจะทำกันในเดือนหก และจะทำหลังจากที่ทำพิธีเลี้ยงบ้านไปแล้ว บุญบั้งไฟถือเป็นสาระของความสนุกสนานที่แฝงไว้ด้วยความเชื่อถือศรัทธาที่มีมาอย่างยาวนาน กิจกรรมทั้งหมดของประเพณีนี้ได้ถ่ายทอดความรู้สึก ภูมิปัญญาของชุมชนในเรื่องเทคโนโลยีพื้นบ้าน การเลือกไม้ไผ่มาทำบั้งไฟ การตัดไม้ไผ่โดยไม่เป็นอันตราย การบรรจุดินปืนลงกระบอกไม้ไผ่ ล้วนเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมสืบกันมา การตกแต่งบั้งไฟเป็นงานศิลปะ การเซิ้ง การรับลำ ความเชื่อในผีแถนและมีภาษาอีสาน เป็นภาษาถิ่น